บทเรียนจากโปคิโต้: การค้นพบความไว้ใจ

14/07/2018

ผู้เขียน ทามารา สตรีแจค

ต่อไปนี้คือเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตหมาของพวกเราที่ชื่อ โปคิโต้

หลังจากที่ฉันและสามี (แอนดรู) ย้ายมาอยู่ที่แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาได้ไม่นาน สามีฉันได้ไปเที่ยวกับกลุ่มเด็กหญิงที่เราดูแลที่เมืองตากอากาศมาซัทลัน ประเทศเม็กซิโก  ระหว่างทางฉันได้รับโทรศัพท์จากแอนดรูซึ่งสัญญาณไม่ค่อยดีนัก เขาถามฉันว่าเขาจะเอาลูกหมาพันธ์ชิวาว่ากลับบ้านได้ไหม  ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถามอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านอะไรจึงตอบตกลงไป  แอนดรูบอกไม่มั่นใจว่าเขาจะเอาหมากลับบ้านได้หรือเปล่า เขาจึงบอกฉันว่าอย่าเพิ่งบอกเด็กๆนะ

ช่วงปลายสัปดาห์ฉันนั่งเรือไปกับเด็กๆเพื่อไปรับแอนดรู เขาใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่เดินออกมาจากรถตู้ จากนั้นพวกเราก็เดินเข้ารถตู้ด้วยกัน แอนดรูหยิบกรงหนูแฮมสเตอร์สีสันสดใสออกมาจากเสื้อกันหนาวของเขา จากนั้นลูกหมาพันธ์ชิวาว่าก็โผล่หัวออกมา ขณะที่เด็กๆดีใจกันยกใหญ่ แต่เจ้าหมากลับรู้สึกกลัว

เราตั้งชื่อมันว่า โปคิโต้ ซึ่งในภาษาเสปนแปลว่า เล็กๆ  จริงๆเรามีหมาอยู่แล้วหนึ่งตัวชื่อ บริกส์  ตัวมันค่อนข้างใหญ่  เพราะฉะนั้นเจ้าตัวเล็กนี้ชื่อโปคิโต้ก็ดูเหมาะสมดี

แอนดรูเก็บโปคิโต้มาจากข้างถนนในประเทศเม็กซิโก มันน่าจะมีอายุประมาณสามเดือน ระหว่างท่องเที่ยวนั้นสามีฉันต้องยอมอดอาหารเพื่อประหยัดเงินพามันกลับมาบ้าน เมื่อกลับมาที่แคนาดา แอนดรูค่อยๆปรับการกินให้เข้าสู่สภาพปกติ  แต่โปคิโต้กลับไม่เป็นอย่างนั้น

มันกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง ทันทีที่เราให้อาหารสุนัขมันจะกินอย่างตะกละตะกลามอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งเราคิดว่ามันอาจจะสำลักได้ เราจึงคิดว่าถ้าเราใส่ก้อนหินลงไปในอาหารที่มันกินมันอาจจะกินช้าลงเพราะมันต้องแยกอาหารออกจากก้อนหิน  และเราก็ตัดสินใจให้อาหารมันทีละน้อยแบ่งเป็นห้ามื้อต่อวัน ซึ่งต่างจากแต่ก่อนที่เราให้วันละสองมื้อตามที่ บริกส์กิน

ปกติโปคิโต้จะป้วนเปี้ยนใกล้ห้องครัวหรือที่โต๊ะอาหาร เพราะมันจะคอยเวลาที่พวกเราทิ้งเศษอาหารให้มัน เราเข้าใจดีว่าเจ้าโปคิโต้มีสภาพเช่นนี้เพราะตอนมันอยู่ข้างถนนมันต้องแย่งชิงอาหารกับหมาตัวอื่น บางครั้งมันต้องทำหน้าตาให้สงสารเพื่อที่จะได้อาหารมากิน มันต้องอยู่อย่างหวาดกลัวว่าแต่ละวันจะมีกินไหม

พวกเราต้องใช้เวลาและความอดทนพอสมควรจนกว่าโปคิโต้จะเชื่อใจว่าเราจะให้อาหารมันตลอดไป ซึ่งบางครั้งมันไม่ต้องขอเราเลย จริงๆแล้วเพราะเรารู้สาเหตุของพฤติกรรมเช่นนี้ เราจึงไม่รู้สึกรำคาญหรือหงุดหงิดเท่าไรนัก เรารู้สึกสงสารมัน มันไม่ได้จงใจให้เราลำบากอะไรเลย มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้

ตอนนี้ชีวิตมันเปลี่ยนไปแล้ว เดิมมันมันจะกินอย่างบ้าคลั่งแต่ตอนนี้มันจะค่อยๆกิน บางครั้งมันเหลืออาหารไว้กินมื้ออื่นด้วยถ้ามันอิ่มเสียก่อน และจากที่มันจะป้วนเปี้ยนอยู่ที่ครัวรออาหาร ตอนนี้มันจะอยู่ที่พักของมันและจะมากินชีสที่เราให้เท่านั้น มันชอบกินชีสมากและรู้ด้วยว่าอะไรไม่ใช่ชีส

ตอนนี้เราสบายใจขึ้นมากและเรียนรู้บทเรียนที่สำคัญข้อหนึ่งจากโปคิโต้คือ ความไว้ใจสำคัญกว่าการดิ้นรนตามหา

ฉันคิดว่าบทเรียนนี้ใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหมา เด็กหรือผู้ใหญ่ ความรักก็เปรียบเหมือนกับอาหาร ถ้าพวกเราทั้งหมดมีความรักอย่างเพียงพอ เราก็ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายหามัน และรู้สึกอุ่นใจว่าความรักจะไม่หายไปไหน

ฉันอดคิดถึงเด็กๆที่พวกเราดูแลอยู่ไม่ได้ พวกเขาเคยดิ้นรนให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยด้วยตัวเอง ลองนึกดูว่าพวกเขาจะอยู่อย่างอุ่นใจได้อย่างไรถ้ายังต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา จึงไม่แปลกใจเลยถ้าพวกเขาเหล่านั้นจะหวงของหรือแม้แต่ไม่อยากจะอยู่ใกล้กับผู้ที่จะมอบความรักให้ สำหรับพวกเขาแล้วสิ่งของหรือความรักนั้นมันอาจจะสูญหายได้ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้นสำหรับเด็กที่ผ่านเรื่องราวโหดร้ายมามากมายทั้งการทอดทิ้งและการดิ้นรนชีวิตต่างๆ ความรู้สึกไว้ใจคงเกิดขึ้นไม่ง่าย ความเอาใจใส่ที่เราจะมีให้พวกเขาต้องมีอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  ในสถานรับเลี้ยงเด็กที่ที่เราทำงานอยู่นั้นการสร้างความไว้ใจให้กับเด็กๆเป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน เราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ การสัมผัส ความใกล้ชิด และความรู้สึกว่าตนเองสำคัญ โดยไม่ปล่อยให้เขาต้องร้องขอจากเรา บางครั้งเราต้องให้มากกว่าที่เขาต้องการด้วยซ้ำ

และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ความหิวโหยต่างๆของเด็กเหล่านี้ก็จะหมดไปเหมือนกับโปคิโต้ที่ได้ไว้ใจพวกเราในที่สุด  เด็กๆจะรู้ว่าความรัก ความเอาใจใส่ของพวกเราจะไม่มีวันหมดไป 

empty